Tuesday, February 28, 2017

การคิดระดับสูง


การคิดพื้นฐาน


สรุปเกี่ยวกับการคิด

ความหมายของการคิด

   พจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑติยสถาน  พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๒๕๑) ให้ความหมายของค าว่า          การคิดไว้ว่า คิด ก. ทำให้ปรากฏเป็นรูป หรือประกอบใคร่ครวญ ไต่ตรองให้เป็นรูปหรือเร่ือง            ขึ้นในใจ”  ส่วนกิลฟอร์ดและคณะ (Guilford, T.P. อ้างใน วรรณคดี ม้าล าพอง, ๒๕๔๙ : ๔)                 บอกว่า “...วิธีการคิด (Operation) หมายถึง กระบวนการทางสมองแบบต่างๆ มีส่วนประกอบย่อย          ห้าส่วน คือ การรู้จักและเข้าใจ ความจ า การคิดแบบอเนกนัย การคิดแบบเอกนัยและการประเมินค่า”  เกี่ยวกับเร่ืองนี้  ไมออนรี่ (อ้างใน สุวิทย์ มูลค า, ๒๕๔๗ : ๙) กล่าวว่า การคิด คือ การค้นหา ความหมายผู้ที่คิด  คือผู้ที่ก าลังค้นหาความหมายของอะไรบางอย่าง นั่นคือก าลังใช้สติปัญญาของตนทำความเข้าใจกับการนำาความรู้ใหม่ที่ได้เข้ารวมกับความรู้เดิมหรือประสบการณ์ที่มีอยู่ เพื่อค้นหา คำตอบว่าคืออะไร  หรือกล่าวอีกแบบหนึ่งว่าเป็นการเอาข้อมูลที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ไปรวมกับข้อมูลที่มี อยู่เดิม”     ดังนั้นการคิดจึงหมายถึงการใคร่ครวญในแง่มุมต่างๆ เพื่อค้นหาความหมายของข้อมูลหรือ สิ่งเร้าเพื่อหาค าตอบ การตัดสินใจ หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ โดยใช้กระบวนการท างานของสมอง                 มาประกอบกับประสบการณเ์ดิมที่มีในตัวเจ้าของความคิดนั้น ซึ่งนับว่ามีความส าคัญยิ่ง

เมื่อคิด  มีการทำให้ปรากฏ เป็นรูปหรือเป็นภาพในใจ มีการใคร่ครวญ ใตร่ตรอง คาดคะเน คำนวณ มุ่ง จงใจ ตั้งใจและนึก เป็นการทำงานของสมอง การจะรู้ว่าคนคิดอะไรจะต้องสังเกตดูจากพฤติกรรมที่แสดงออกมา หรือคำพูดที่พูดออกมา ดังฮิลการ์ด (Hilgard) การคิดเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสมอง อันเนื่องมาจากการใช้สัญลักษณ์แทนสิ่งของ เหตุการณ์ต่างๆ  บรูโน(Bruno) ให้การคิดเป็นกระบวนการทางสมองที่ใช้สัญลักษณ์จินตภาพ ความคิดเห็น ความคิดรวบยอด แทนประสบการณ์ทางสมองในระดับสูง กระบวนการเหล่านี้ได้แก่ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษา จินตนาการ ความใส่ใจ เชาว์ ปัญญา ความคิดสร้างสรรค์และอื่นๆ  แมทลิน (Matlin)ให้การคิดเป็นกิจกรรมทางสมอง เป็นกระบวนการทางปัญญา ประกอบด้วยการสัมผัส การรับรู้ การรวบรวม การจำ การรื้อฟื้นข้อมูลเก่า หรือประสบการณ์ โดยนำข้อมูลข่าวสารเก็บไว้เป็นระบบ การคิดเป็นการจัดข้อมูลข่าวสารใหม่กับการข้อมูลเก่า ผลการจัดสามารถแสดงออกมาภายนอกให้ผู้อื่นรับรู้ได้   

รอเจอร์ สเพอร์รี และรอเบิร์ต ออร์นสไตน์  ได้แบ่งสมองคนออกเป็นสองซีก ซ้ายและขวา
                สมองซีกซ้ายควบคุมดูแลพฤติกรรม เรื่องต่างๆ คือ 1) การคิดทางเดียวเรื่องใดเรื่องหนึ่ง 2)การคิดวิเคราะห์แยกแยะ 3) การใช้ตรรกศาสตร์และเหตุผลทางคณิตศาสตร์ 4) การใช้ภาษาทั้งอ่านเขียนและพูด  รวมทั้งการควบคุม การกระทำ การฟัง การเห็น การสัมผัสต่างๆ ของร่างกายทางซีกขวา ส่งเสริมการทำงานเป็นระบบ วิทยาศาสตร์ และการแสดงออก
                สมองซีกขวา ควบคุมดูแลเรื่องต่างๆ คือ 1) การคิดสร้างสรรค์ 2)การคิดเชิงขนาน ที่คิดหลายเรื่องแต่ละเรื่องไม่เกี่ยวข้องกัน 3) การคิดสังเคราะห์สร้างสิ่งใหม่ 4)การเห็นเชิงมิติ  กว้าง ยาว ลึก 5)การเคลื่อนไหวของร่างกาย ความรัก ความเมตตา รวมถึงสัญชาติญาณ และลางสังหรณ์ต่างๆ    ส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ จริยธรรม อารมณ์ อ่อนไหว การทำงานในทางศิลปะศาสตร์(Arts) เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยังทำงานความคุมสมองซีกซ้าย

ธรรมชาติของการคิด  
- กระบวนการทางสมอง เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา ห้ามการคิดไม่ได้ จึงต้องแสวงหาหนทางหรือพัฒนาการคิดของคนให้คิดแล้วได้ประโยชน์ ทั้งต่อตัวเองและสังคม
- การคิดเป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่อง กระบวนการคิดมีขั้นตอนแตกต่างกันไป แล้วแต่ประเภทการคิด
- สามารถกำหนดให้มนุษย์คิด โดยกำหนดเงื่อนไข การปฏิบัติ และกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิด
-การคิดแต่ละลักษณะมีจุดมุ่งหมายวิธีการ และขั้นตอนการคิดของตนเอง เช่นการคิดอย่างมีวิจารณญานและการคิดสร้างสรรค์
- การคิดเป็นความสามารถที่เรียนรู้ พัฒนาได้  ความสามารถในการคิดไม่ใช่พรสรรค์ ที่สามารถเรียนรู้ ฝึก และพัฒนาได้เหมือนทักษะอื่นๆ เช่นการเล่นกีฬา คิดเลขเร็วเป็นต้น

องค์ประกอบการคิด
1. สิ่งเร้า เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการคิด เกิดการรับรู้ อาจเป็นวัตถุ สิ่งของ ภาพ เสียง ข้อมูล สัญลักษณ์ กิจกรรม สภาวการณ์ต่างๆ ที่ทำให้เกิดปัญหา ความสงสัย ความขัดแย้งยุ่งยาก สมองจะได้รับการกระตุ้นให้คิดมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหา
2)  การรับรู้ประสาทสัมผัสทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย
3) จุดมุ่งหมายในการคิด แน่นอนว่าต้องการผลการคิดเพื่ออะไร เช่นเพื่อตัดสินใจว่า ทำหรือไม่ทำ เพื่อแก้ปัญหา เพื่อให้ได้ความรู้ใหม่ เพื่อสร้างสรรค์งานใหม่
                การมีจุดมุ่งหมายในการคิดจะช่วยให้คิดได้ถูกทาง เลือกใช้วิธีคิดที่ถูกต้อง และได้ผลการคิดตรงตามความต้องการ
4)  วิธีคิด คิดอย่างไรเพื่อให้ตัดสินใจได้ถูกต้อง แก้ปัญหาได้ ได้คำตอบที่ถูกต้อง หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เลือกวิธีคิดให้ตรงกับจุดมุ่งหมาย เช่นคิดเพื่อตัดสินใจ
-คิดให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง ...วิธี คิดอย่างมีวิจารณญาน
-คิดเพื่อแก้ปัญหา  ... วิธี คิดแบบแก้ปัญหา
-คิดให้ได้ผลงานใหม่ ...วิธีคิดแบบสร้างสรรค์
5) ข้อมูลเนื้อหา   การคิดแต่ละครั้งต้องมีเรื่องที่คิด คิดอะไร (ข้อมูล เนื้อหา) และคิดอย่างไร (ขั้นตอนการคิด)
ข้อมูลหรือเนื้อหา ที่ใช้ประกอบการคิด ได้แก่ ความรู้ และประสบการณ์ บุคคลที่มีข้อมูลหรือเนื้อหาประกอบการคิด มากกว่า คุณภาพข้อมูลเนื้อหายิ่งดีเท่าใด จะได้ผลการคิดที่มีคุณภาพมากขึ้นเท่านั้น

การคิดเกิดขึ้นอย่างไร
 
-เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งเร้า จากการสัมผัสรับรู้ ตามสถานการณ์ สิ่งแวดล้อม และข้อมูล แล้วเกิดปัญหา เกิดความสงสัย เกิดความขัดแย้ง ขึ้นในสมอง เป็นภาวะที่ไม่สมดุล เกิดความทุกข์ มีความเครียด จึงทำให้คิดหาหนทาง หาวิธีแก้ปัญหา ตอบข้อสงสัย ขจัดความขัดแย้งให้หมดไป เข้าสู่ภาวะสมดุล ที่ไม่เครียด

 ประเภทการคิด
1) ทักษะการคิดพื้นฐาน ได้แก่ การสังเกต จำแนก แยกแยะ เปรียบเทียบ จัดกลุ่ม จัดหมวดหมู่ การเชื่อมโยงสัมพันธ์ การจัดลำดับ การให้เหตุผล การเดาคาดคะเน ตั้งสมมุติฐาน การประเมิน การตัดสินใจ การเลือก การให้ความหมาย ตีความ แปลความหมาย สรุป ระบุเรื่องราวสำคัญ
2) ทักษะการคิดระดับสูง ได้แก่การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดสร้างสรรค์ การคิดแก้ปัญหา จะเห็นว่าการคิดในระดับสูงใช้ทักษะการคิดพื้นฐานเป็นองค์ประกอบหลายอย่าง
กระบวนการคิดแก้ปัญหา
1) ระบุปัญหา  2) วิเคราะห์สาเหตุปัญหา  3)แสวงหาแนวทางแก้ปัญหา  4)เลือกทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด   5)ลงมือดำเนินการแก้ปัญหาตามวิธีที่เลือก (การกระทำถือว่าเป็นการคิดอย่างหนึ่ง) 6) รวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลจากผลการลงมือแก้ปัญหา 7) สรุปผลการแก้ปัญหา
การคิดมีวิจารณญาณ
จุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้ผลของการคิดที่ผ่านการกลั่นกรองอย่างดีแล้ว
ขั้นตอนวิธีการ
1) ระบุปัญหา ทำความเข้าใจปัญหา ตั้งสมมุติฐานคิดเดาคำตอบ รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง พิจารณาความน่าเชื่อถือ ความเพียงพอของข้อมูล มีหลักฐาน แหล่งข้อมูล
2) วิเคราะห์ เปรียบเทียบ จัดกลุ่ม จัดลำดับ
3) สรุป
4) ตัดสินใจ
การคิดสร้างสรรค์
จุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้ความใหม่ ผลงานใหม่ แตกต่างจากเดิม ไม่เคยมีมาก่อน
ขั้นตอนวิธีการ
1) ระบุผลงานการกระทำหรือสิ่งประดิษฐ์ที่มีอยู่แล้ว ตามกรอบความคิดเดิมออกมาให้มากที่สุด ให้มีความหลากหลายประเภท หลายทิศทาง หลายรูปแบบ
2) ระบุผลงาน การกระทำหรือ สิ่งประดิษฐ์นั้นใหม่ให้ต่างออกไปจากขอบเขต เหนือกรอบความคิดเดิม ให้ได้ความแปลกใหม่ มีความแตกต่างจากธรรมดา ไม่ซ้ำกับสิ่งที่มีในปัจจุบัน

ระดับการรู้คิดตามเบนจามิน บลูม





Tuesday, February 21, 2017

ค่าเฉลี่ยเลขคณิต



การเขียนกราฟ






การคิดค่าเฉลี่ย




การคิดเชิงตรรกะ การคิดอย่างมีเหตุผล และการวิจัย

การคิดที่มีเหตุผลจึงต้องมีตรรกะในการคิด ดังนั้นการคิดอย่างมีเหตุผลกับการคิดเชิงตรรกะ จึงเป็นเรื่องที่ใกล้เคียงกัน อาจพูดได้ว่าการคิดที่มีเหตุผลนำตรรกะมาใช้ ดังนั้นการคิดเชิงตรรกะก็เป็นการคิดที่มีเหตุผล

การคิดที่มีเหตุผลที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดคือการคิดแบบวิทยาศาสตร์ที่อาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นการคิดทางวิทยาศาสตร์จึงต้องมีตรรกะด้วย  ซึ่งการคิดทางวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นรากฐานของการวิจัยในปัจจุบัน ทั้งการวิจัยทางสังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์โดยตรงก็ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์

การคิดแบบอุปนัย และ การคิดแบบนิรนัย  (inductive and deductive thinking)

การวิจัยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ได้ความรู้ใหม่  อยากรู้เรื่องอะไรที่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ทำวิจัยเรื่องนั้นก็จะค้นพบอะไรบ้างอย่าง  ก่อนทำวิจัยจึงต้องรู้เรื่องที่จะทำเสียก่อนว่า ความรู้เรื่องนั้นทั่วโลกเท่าที่หาได้ว่าปัจจุบันไปถึงไหนแล้วมีประเด็นไหนที่ยังไม่มีใครรู้มาก่อน แล้วเราจะวิจัยหาดูต่อยอดความรู้เดิม
สถิติเข้ามามีบทบาทในการสรุปจากข้อมูล ซึ่งมีอยู่ 2 แบบคือ สถิติแบบพรรณา และสถิติอนุมาณ


สถุิติเบื้องต้น

























































































Sunday, February 12, 2017

ทักษะที่คนไทยต้องมีให้ได้ในยุค 4.0 จากปาฐกถา ดร.วิรไทย สันติประพบ

การที่เราจะประสบความสำเร็จในอีก 10-15 ปีข้างหน้า คนไทยจะต้องปรับตัวและเพิ่มทักษะในเรื่องต่างๆ ดังนี้
1. ทักษะในการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ในยุคดิจิทัล การค้นหาและเรียนรู้จากข้อมูลรอบตัวเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมาก เพราะเทคโนโลยีช่วยให้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็วและไร้พรมแดน แต่เทคโนโลยีก็ทำให้เกิด “ข่าวและข้อมูลที่เป็นเท็จ” แพร่กระจายอย่างรวดเร็วเช่นกัน และสร้างความเข้าใจผิดในวงกว้างได้ง่าย มีงานศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้นำข้อมูลจากการสำรวจของ Pew Research Center มาวิเคราะห์ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น พบว่าการแพร่กระจายของข่าวปลอมเป็นผลจาก (1) การขาดการประเมินข่าวก่อนส่ง (2) เมื่อข่าวสารนั้นตรงกับอคติที่เรามี (confirmation bias) เราจึงปักใจเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น ในโลกยุค 4.0 การเรียนรู้และการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (verify) และความสามารถในการแยกแยะว่าเป็นจริงหรือเท็จเป็นทักษะที่สำคัญ
2. คนไทยต้องมีทักษะด้านภาษาและการสื่อสารสำหรับเข้าถึงข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดน และเป็นการขยายมุมมองให้ก้าวทันต่อโลก และเพิ่มโอกาสในการทำงานให้หลากหลายมากขึ้น
3. คนไทยในยุค 4.0 จำเป็นต้องมี “ทัศนคติต่อการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง” ที่สำคัญคือ การรู้จักพอประมาณ รู้เหตุรู้ผล และรู้วิธีสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ทัศนคติของการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องจะช่วยให้แก้ปัญหาและสร้างความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะเป็น การรู้จักทำงานร่วมกับผู้อื่น รู้จักใช้ประโยชน์จากความแตกต่างและความหลากหลายทางความคิด รวมถึงการมีคุณธรรมที่จะช่วยสร้างความผาสุก ความร่มเย็นในชีวิต ในยุคที่เราต้องเผชิญกับความผันผวน ความไม่แน่นอน และสิ่งเร้าจากภายนอกที่เข้ามาถึงเราได้จากทุกทิศทาง
เรื่องสุดท้ายที่สำคัญมากของคนไทยคือ
4. คนไทยต้องรู้จักการทำหน้าที่พลเมืองที่ดี ความรู้ต่างๆ จะด้อยค่าลงมากหากประชาชนไม่ได้ทำหน้าที่พลเมือง เราจำเป็นต้องตระหนักว่า เราเป็นเจ้าของประเทศคนหนึ่ง เราจึงมีหน้าที่ของการเป็นพลเมือง การ “นิ่งดูดาย” หรือคิดว่า “ธุระไม่ใช่” แล้วปล่อยให้ปัญหาต่างๆ ใหญ่โตขึ้น สุดท้าย ปัญหาเหล่านั้นก็จะส่งผลกระทบถึงเราในท้ายที่สุด การทำหน้าที่พลเมืองอย่างหนึ่งก็คือ การพร้อมเข้าแก้ปัญหาตามศักยภาพและในทุกโอกาสที่มี ถ้าทุกคนคิดได้เช่นนี้ พลังเล็กน้อยที่ทุกคนร่วมกันจะสะสมเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ได้ เทคโนโลยีและการสื่อสารในโลกยุค 4.0 จะช่วยทำให้เราทำหน้าที่พลเมืองได้ง่ายขึ้นและมีพลังมากขึ้นอย่างที่เราอาจจะคิดไม่ถึงอีกด้วย

Monday, February 6, 2017

กลยุทธ์ในการแก้ปัญหา

กระบวนการตัดสินใจ

ข้อมูลและการวิเคราะห์

การใช้เหตุผล

กระบวนการคิด

การคิดและการตัดสินใจ .. ความหมายเกี่ยวกับการคิด

วิทยาศาสตร์ ในสังคมและวัฒนธรรมไทย